1. การจัดวาง ห้องรับแขกถือเป็นบริเวณกึ่งสาธารณะในบ้านควรจะอยู่ติดกับโถงทางเข้าด้านหน้าบ้านเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกและควรมีทางติดต่อกับ ห้องรับประทานอาหาร หรือเฉลียง เพื่อความสะดวกในการย้ายกิจกรรม
ห้องรับแขกควรจัดให้มีการถ่ายเทอากาศได้สะดวก ไม่ปิดทึบอาจอยู่ติดกับ เฉลียงด้วยประตูขนาดใหญ่เพื่อเชื่อมต่อบริเวณให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ควรอยู่ทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงบ่าย
2. การเลือกวัสดุและสีห้องรับแขก บ้านที่ไม่มีเด็กและใช้ระบบปรับอากาศสามารถปูพรมได้ แต่ถ้ามีเด็ก
อาจจะทำให้ ทำความสะอาดได้ยาก พื้นควรปูด้วยไม้ปาเก้กระเบื้องเคลือบหรือวัสดุอื่น
ๆแทนแต่จะทำให้รู้สึก แข็งกระด้าง สามารถแก้ได้ด้วย
การเน้นบริเวณสำคัญด้วยพรมเป็นเฉพาะจุด
ไม่ควรปูพรมทั้งห้องเพราะจะเป็นที่สะสมของฝุ่นซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ สีของผนังหากต้องการโชว์รูปแขวน ก็ควรทาสีเรียบผ้าม่าน ควรมีลายสอดคล้อง กับผ้าบุเก้าอี้และโซฟาเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันผ้าม่านสีอ่อนจะดูสงบสร้าง
ความรู้สึกของผนังเมื่อปิดม่านสีที่กลมกลืนกันทั้งห้อง
จะช่วยสร้างบรรยากาศผืนภาพใหญ่ เพื่อเน้นความขัดแย้งของสีเช่น การใช้เฟอร์นิเจอร์หรือพรมสีสะดุดตาการใช้กระถางต้นไม้ จะช่วยให้ห้องดูน่าสนใจขึ้น
3. เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและการตกแต่ง การจัดเฟอร์นิเจอร์จำเป็นต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่นั่งหลักซึ่งเป็นจุดสำคัญของศูนย์กลางห้องเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จะมีโซฟาเป็นศูนย์กลางของห้อง
โซฟา 3
ที่นั่งเหมาะสำหรับห้องขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่
หรือใช้เป็นโซฟา 2
ตัวต่อกันเป็นมุม 90 องศา บุเบาะด้วยผ้า หนัง หรือหนังเทียม
ในประเทศไทยอากาศค่อนข้างร้อน
การบุหนังอาจจะทำให้นั่งไม่สบายถ้าไม่ติดเครื่องปรับอากาศ
ควรบุด้วยผ้าด้ายดิบที่สามารถถ่ายเทอากาศได้แทนการใช้หนัง
4. แสงและเสียงในห้องรับแขก การใช้แสงธรรมชาติจะช่วยทำให้อารมณ์สดใสได้มากที่สุด
และเน้นแสงเฉพาะจุดในบริเวณที่ให้ความสำคัญ เช่น ภาพเขียน งานประติมากรรมบริเวณที่มีการใช้สอยแตกต่างกันก็ควรใช้แสง แตกต่างกันด้วย ควรเรียนรู้ที่จะเปิดรับแสงแดด ให้เหมาะกับเวลา อาจนั่ง จดบันทึกทิศทาง
การเคลื่อนที่ของแสงอาทิตย์ ที่ส่องเข้ามาภายในห้องทุกวันและจัดผังกลุ่มเก้าอี้ตาม
อย่าจัดกลุ่มโซฟาหันปะทะแสงจ้า และไม่วางโทรทัศน์รับแสงอาทิตย์ กลางวันตรง ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น